Saturday, November 29, 2008

5 ฟีเจอร์ของ Windows 7 ที่ได้รับการจับตามากที่สุด

บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ 5 ฟีเจอร์ใหม่ของ Windows 7 ซึ่งเป็นฟีเจอร์เด่นที่กำลังได้รับการจับตาจากผู้ใช้มากที่สุด ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1. User Account Control ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
ใน Windows 7 นั้น ไมโครซอฟท์ได้ปรับปรุงฟีเจอร์ User Account Control ให้สามารถควมคุมและปรับแต่งได้มากขึ้น โดยจะสามารถกำหนดระดับการใช้งานได้ 4 ระดับ คือ Never notify, Only notify me when programs try to make changes to my computer, Always notify me และ Always notify me and wait for my response ในขณะที่ใน Windows Vista นั้นจะสามารถกำหนดระดับการ User Account Control ใช้งานได้เพียง 2 ระดับคือ เปิด (On) หรือปิด (Off)

ฟีเจอร์ User Account Control ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ใน Windows 7 จะช่วยให้ Administrator สามารถปรับใช้ UAC ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งานในองค์กร โดยจะไม่พร็อมพ์ถามยูสเซอร์ในการเปลี่ยนแปลงระบบที่ยูสเซอร์เป็นผู้กระทำเองแต่จะพร็อมพ์ถามยูสเซอร์ในกรณีที่มีโปรแกรมพยายามทำการเปลี่ยนแปลงระบบ ตัวอย่างเช่น จะไม่แสดงพร็อมพ์เมื่อยูสเซอร์ทำการเปลี่ยน Date and Time แต่จะแสดงพร็อมพ์ถ้ามีโปรแกรมบางโปรแกรมพยายามทำการแก้ไขรีจีสทรีเพิ่มให้ทำการรันโปรแกรมโดยอัตโนมัติ เป็นต้น

2. Taskbar ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
ไมโครซอฟท์ได้สาธิต Taskbar ตัวใหม่ที่จะมีใน Windows 7 ในงาน Professional Developers Conference 2008 (PDC2008) ใน Los Angeles เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา (แต่ Taskbar ใหม่นี้จะไม่รวมอยู่ใน Windows 7 เวอร์ชัน pre-beta ที่ไมโครซอฟท์แจกให้ผู้เข้าร่วมงาน)

Taskbar ของ Windows 7 นั้น ไมโครซอฟท์ได้ทำการปรับปรุงใหม่แบบที่เรียกได้ว่าเป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งหมด อาจจะไม่ดูโดดเด่นเหมือน Taskbar ของ Mac OS X แต่จะมีฟีเจอร์เด่นที่สามารถแสดงรายการโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ในแบบ thumbnail และเมื่อนำเม้าส์ไปเหนือ Thumbnail วินโดวส์จะแสดงโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่แบบ Full-size Window และเปลี่ยนการแสดงผลของหน้าต่างอื่นๆ ให้โปร่งแสง ทั้งนี้เพื่อเป็นการเน้นหน้าต่างที่กำลังทำงานอยู่ และยังสามารถทำการจัดเรียงไอคอนได้ตามความต้องการอีกด้วย

Taskbar ที่ได้การปรับปรุงใหม่ใน Windows 7 นั้น ให้มุมมองและการทำงานที่น่าประทับใจ เนื่องจาก Taskbar ใน Windows นั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเวลาจะเป็นตัวตัดสินว่า Taskbar ที่ได้การปรับปรุงใหม่นี้จะโดนใจผู้ใช้หรือไม่

3. Homegroup
Homegroup คือระบบเครือข่ายแบบเวิร์กกรุ๊ป แต่ใน Windows 7 นั้น มันจะเป็นระบบส่วนตัว ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 บนระบบเครือภายในบ้านเพื่อแบ่งปันรูปภาพ ดนตรี วีดีโอ และไฟล์เอกสารต่างๆ รวมถึงเครื่องพิมพ์ได้ง่ายขึ้น

ใน Windows 7 นั้น ฟีเจอร์ Homegroup เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ของ Networking and Sharing Center ที่ได้รับการปรับและได้รับการจับตามากที่สุดฟีเจอร์หนึ่ง มันถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานบนระบบเครือภายในบ้านโดยเฉพาะและจะไม่มีฟีเจอร์นี้ถ้าเป็นการใช้บนระบบเครือข่ายที่ทำงานหรือบนระบบเครือข่ายสาธารณะ ในการที่จะเซ็ตอัพ HomeGroup ยูสเซอร์จะต้องเลือกตำแหน่งเครือข่ายใน Network and Sharing Center เป็น "Home"

ในการใช้งานแบบ HomeGroup นั้น ยูสเซอร์สามารถควบคุมได้หลายอย่าง โดยเมื่อทำการสร้าง HomeGroup ระบบจะให้กำหนดว่าจะทำการแชร์ไฟล์ โฟลเดอร์ หรืออุปกรณ์อะไรบ้าง รวมถึงการกำหนดรหัสผ่านสำหรับการเข้าถึงการแชร์เหล่านั้น นั้นคือจะมีเพียงผู้ที่ทราบรหัสผ่านเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ที่แชร์อยู่ใน HomeGroup ได้ ซึ่งกลไกนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ที่แชร์อยู่ใน HomeGroup ได้ถึงแม้ว่าจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่กับ HomeGroup

4. Library
แทนที่จะเก็บไฟล์หรือโฟลเดอร์ทุกๆ ชนิดไว้ภายในโฟลเดอร์ Documents เพียวโฟลเดอร์เดียว ใน Windows 7 จะมีฟีเจอร์ Library สำหรับใช้แยกเนื้อหาที่กำหนด ตัวอย่างเช่น การสื่อสาร, การติดต่อ, เอกสาร, ดาวน์โหลด, ดนตรี, รูปภาพ และ วีดีโอ เป็นต้น

โดย Libraries แต่ละตัวจะมีรูปแบบที่เหมาะสมกับเนื้อหา ตัวอย่างเช่น Library สำหรับการติดต่อ ก็จะแสดงหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่อีเมล Library สำหรับการดาวน์โหลดจะแสดงรายการ url ของการดาวน์โหลด เป็นต้น

ฟีเจอร์ Library นั้นจะช่วยให้ยูสเซอร์จัดการไฟล์และโฟลเดอร์ได้ดีขึ้น โดยการย้ายโฟลเดอร์จากตำแหน่งอื่นบนระบบเครือข่ายมาอยู่ใน Library ตัวอย่าง ถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง และต้องการดูไฟล์ทั้งหมดที่อยู่บนแต่ละเครื่องในต่ำแหน่งเดียว ก็สามารถทำการลากไฟล์เหล่านั้นมาแสดงใน Library โดยที่ไฟล์เหล่านั้นยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม นอกจากนี้ยังสามารถแชร์ Library บนบนระบบเครือภายในบ้านโดยใช้ Homegroup ได้อีกด้วย

5. รองรับจอแบบ Touch-screen
ฟีเจอร์ Touch-screen บน Windows 7 เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ในไมโครซอฟท์ได้สาธิตในงาน Professional Developers Conference 2008 (PDC2008) ใน Los Angeles เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น เมนู Start จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อยูสเซอร์สัมผัส หรือการที่ยูสเซอร์สามารถใช้ปลายนิ้วในการบราวซ์ผ่านหน้าต่างและหน้าเว็บ และเมื่อทำการกดหน้าจอก็จะเข้าสู่โหมดสัมผัสโดยจะแสดงหยดน้ำแทนที่เม้าส์เคอเซอร์

Windows 7 Features User Account Control UAC Taskbar Homegroup Library

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

การก็อปปี้พาธของไฟล์หรือโฟลเดอร์เก็บเข้าคลิบบอร์ด

วิธีการก็อปปี้พาธของไฟล์หรือโฟลเดอร์เก็บเข้าคลิบบอร์ด
สำหรับท่านที่ต้องการก็อปปี้พาธของไฟล์หรือโฟลเดอร์เก็บในคลิบบอร์ด ซึ่งสามารถทำการวางลงในไฟล์เอกสารหรือในที่อื่นๆ ที่ต้องการ สามารถทำได้ง่าย ตามทริกดังนี้

1. ในหน้าต่าง Windows Explorer ให้เนวิเกตไปยังไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องก็อปปี้พาธ
2. จากนั้นให้กดปุ่ม Shift ค้างไว้
3. ในขณะที่ยังกดปุ่ม Shift ค้างอยู่ให้คลิกขวาที่ไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องก็อปปี้พาธ
4. จากนั้นเลือก Copy as Path จากคอนเท็กซ์เมนู

นอกจากนี้สามารถใช้การกดปุ่ม Shift ค้าง + การคลิกขวา ในการทำอ็อปชันอื่นๆ ได้อีกหลายอย่าง

Copy Full Path of File Folder to Clipboard

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

25 ปีของการเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows

Twenty-Five Years of Windows
นับเป็นเวลา 25 ปีแล้วที่ นับตั้งแต่เด็กหนุ่มที่ชื่อ William Henry "Bill" Gates III หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อบิล เกตส์ (Bill Gates) ได้เปิดตัว Windows 1.0 ที่ Plaza Hotel ใน New York City ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2526 พร้อมกับประกาศว่าวินโดวส์ (Windows) จะเป็นระบบปฏิบัติการแห่งอนาคตของโลกคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นเขาได้นำเสนอ Windows 1.0 ในงาน Comdex ในเมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา และประกาศย้ำว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์และระบบ Graphical User Interface (GUI) จะเป็นอนาคตของโลกคอมพิวเตอร์

ใช้งาน Remote Desktop Web Connection บน Vista

การเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้ Remote Desktop Web Connection
เนื่องจาก Remote Desktop Web Connection นั้นทำงานบนพอร์ตหมายเลข 80 ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวกับโปรโตคอล http (Web Server) จึงทำให้สามารถใช้ในการรีโมทผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ โดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางต้องรันระบบปฏิบัติการ Windows Server 2008 และจะต้องติดตั้งบริการ Terminal Services Web Access (TS Web Access) สำหรับวิธีการติดตั้ง TS Web Acces นั้นสามารถอ่านได้จากเว็บไซต์ ติดตั้ง Terminal Web Access บน Windows Server 2008

แต่ก่อนที่จะสามารถใช้งาน TS Web Access ได้นั้นจะต้องทำการติดตั้งโปรแกรม Remote Desktop Web Connection ก่อน ซึ่งผมพยายามหาข้อมูลเกี่ยวการใช้งานบน Windows Vista จากทั้งเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์และเว็บไซต์อื่นๆ ปรากฎว่าไม่พบว่ามีตัวไคลเอ็นต์ที่เป็นเวอร์ชันสำหรับวิสต้า แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถใช้ไคลเอ็นต์ที่เป็นเวอร์ชันสำหรับเอ็กพีซ์ได้ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ http://www.microsoft.com/windowsxp/downloads/tools/rdwebconn.mspx หลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้วให้ทำการติดตั้งให้เรียบร้อย จากนั้นให้ทำการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบรีโมทโดยใช้ Remote Desktop Web Connection ตามขั้นตอนดังนี้

1. เนวิเกตไปยังโฟลเดอร์ที่ติดตั้ง tsweb (ทั่วไปจะเป็น C:\InetPub\wwwroot\TSWeb) แล้วทำการเปิดไฟล์ชื่อ Default.htm ด้วย Internet Explorer ซึ่งจะได้หน้าต่างดังรูปที่ 1 โดย Internet Explorer จะแจ้งเตือนเรื่อง Active-X ให้เลือกรัน Allow blocked content ดังรูปที่ 2 จากนั้นในไดอะล็อกบ็อกซ์ Security Warning ดังรูปที่ 3 ให้คลิก Yes เพื่อทำการรัน Active-X Control


รูปที่ 1 Active-X security warning


รูปที่ 2 Active-X Client Control


รูปที่ 3 Security warning

2. ในหน้าเว็บ Remote Desktop Web Connection ดังรูปที่ 4 ในช่อง Server ให้ใส่ชื่อหรือหมายเลขไอพีของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการเชื่อมต่อ เสร็จแล้วคลิก Connect ระบบจะแจ้งเตือนดังรูปที่ 5 ให้คลิก Connect เพื่อยืนยันการเชื่อมต่อ


รูปที่ 4 Connect to Server


รูปที่ 5 Security warning

3. ในหน้าถัดไปให้คลิกเลือกแอคเคาต์ที่ต้องการใช้ล็อกออนเข้า Windows Server 2008 จากนั้นป้อนพาสเวิร์ดให้ถูกต้อง เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter หรือคลิกปุ่ม -> เพื่อล็อกออนเข้าวินโดวส์

4. เมื่อทำการล็อกออนเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้หน้าจอเดสก์ท็อปดังรูปที่ 6 ซึ่งสามารถจัดการเซิร์ฟเวอร์เหมือกับการรีโมทเดสก์ท็อปทุกประการ


รูปที่ 6 Remote Desktop Web Connection

5. เมื่อใช้งานแบบเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ทำการล็อกออฟและปิดเว็บบราวเซอร์

หมายเหตุ:
โดยถ้าไม่สามารถทำการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางและมีการใช้ไฟร์วอลล์บนระบบเครือข่าย ให้ทำการคอนฟิกไฟร์วอลล์ให้อนุญาตให้ทราฟฟิก 80 ผ่านได้

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• http://technet.microsoft.com/en-us/library/cc771908.aspx


Remote Desktop Web Connection

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

Network Readiness Index 2007-2008

ประเทศไทยได้อันดับที่ 40 ใน Network Readiness Index 2007-2008
บทความโดย: Thai Windows Administrator Blog

Network Readiness Index (NRI) เป็นตัวชี้วัดความพร้อมใช้ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการพัฒนาและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจที่ศึกษาและจัดทำโดย World Economic Forum (WEF) โดยดัชนี NRI นั้นจะวัดจากองค์ประกอบสำคัญหลายประการด้วยกัน เช่น โอกาสในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ความครอบคลุมของการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน ความแพร่หลายในการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3G รวมถึงราคาของการให้บริการ คุณภาพของการศึกษาของประเทศ นโยบายด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของรัฐบาล และบริการของรัฐที่ให้บริการประชาชนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งในปี 2007-2008 นั้น ทาง WEF ได้ทำการศึกษาในประเทศต่างๆ จำนวน 127 ประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5 ประเทศ

NRI ของปี 2007-2008 นั้น อันดับที่ 1 และอันดับที่ 2 ยังคงเหมือนเดิม โดยอันดับที่ 1 ยังคงเป็นของประเทศเดนมาร์ก และอันดับที่ 2 ยังคงเป็นประเทศสวีเดน ส่วนอันดับที่ 3 คือประเทศสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งขึ้นมาจากอันดับ 5 ในปีก่อน อันดับที่ 4 เป็นของพีใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งขึ้นมาจากอันดับ 7 ในปีก่อน อันดับที่ 5 ได้แก่ประเทศสิงคโปร์ซึ่งตกมาจากอันดับที่ 3 ในปีที่แล้ว ส่วนอันดับที่ 6-10 ได้แก่ ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ เกาหลีใต้ และ นอร์เวย์ ตามลำดับ

สำหรับประเทศไทย อยู่อันดับที่ 40 ได้คะแนน 4.25 จากทั้งหมด 127 ประเทศ ต่ำกว่าปีที่แล้ว 3 อันดับ แต่ได้คะแนนสูงกว่าปีที่แล้ว 0.04 (ปีที่แล้วอยู่อันดับที่ 37 ได้คะแนน 4.21 จากทั้งหมด 122 ประเทศ) ในขณะที่เกาหลีใต้พุ่งจากอันดับ 19 ไปอยู่ในอันดับที่ 9 สำหรับเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซียยังคงที่ในอันดับที่ 26 ส่วนพี่ใหญ่ของเอเชียอย่างจีนขึ้นจากอันดับ 59 ไปอยู่ในอันดับที่ 57 ในส่วนของอินเดียตกจากอันดับที่ 44 ลงไปอยู่อันดับที่ 50 สำหรับรายงานฉบับเต็มสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของ World Economic Forum ครับ

10 อันดับแรกของ Networked Readiness Index ประจำปี 2007-2008 (ในวงเล็บคืออันดับของปีก่อน)
1. เดนมาร์ก (1) 5.78
2. สวีเดน (2) 5.72
3. สวิตเซอร์แลนด์ (5) 5.53
4. สหรัฐอเมริกา (7) 5.49
5. สิงคโปร์ (3) 5.49
6. ฟินแลนด์ (4) 5.47
7. เนเธอร์แลนด์ (6) 5.44
8. ไอซ์แลนด์ (8) 5.44
9. เกาหลีใต้ (19) 5.43
10. นอร์เวย์ (10) 5.38
40. ไทย (37) 4.25

10 อันดับแรกของ Networked Readiness Index ประจำปี 2006-2007 (ในวงเล็บคืออันดับของปี 2005-2006)
1. เดนมาร์ก (3)
2. สวีเดน (8)
3. สิงคโปร์ (2)
4. ฟินแลนด์ (5)
5. สวิตเซอร์แลนด์ (9)
6. เนเธอร์แลนด์ (12)
7. สหรัฐอเมริกา (1)
8. ไอซ์แลนด์ (4)
9. สหราชอาณาจักร (10)
10. นอร์เวย์ (13)
37. ไทย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
World Economic Forum (WEF)

Network Readiness Index NRI

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

Thursday, November 27, 2008

What is Safe Mode?

รู้จักกับ Safe Mode ของ Windows
ผมคิดว่าผู้ใช้ Windows หลายๆ ท่าน คงจะเคยได้ยินคำว่าบูต Windows เข้า Safe Mode กันมาบ้างไม่มากก็น้อย สำหรับท่านที่มีความสงสัยว่า Safe Mode คือโหมดอะไร? แล้วมีประโยชน์อย่างไร? เชิญอ่านได้ตามรายละเอียดด้านล่างครับ

Safe Mode คือ โหมดการทำงานพิเศษสำหรับใช้ในการวินิจฉัยหาสาเหตุปัญหาการทำงานของ Windows โดยการสตาร์ทคอมพิวเตอร์ในสถานะการทำงานที่จำกัด ซึ่งจะทำการรันเฉพาะไฟล์และไดร์เวอร์ที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบ Windows เท่านั้น หลังจากระบบสตาร์ทเสร็จเสร็จเรียบร้อยจะมีคำว่า "Safe Mode" แสดงอยู่บริเวณมุมทั้งสี่ของหน้าเดสก์ทอปเพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่ากำลังใช้งานอยู่ในโหมดพิเศษ

Windows Vista Safe Mode

การสตาร์ทคอมพิวเตอร์เข้า Safe Mode ช่วยให้การวินิจฉัยปัญหาการทำงานของ Windows ทำได้ง่ายขึ้น โดยการแยกปัญหาที่เกิดจากการตั้งค่าดีฟอลท์ (Default Setting) และ ไดร์เวอร์ของอุปกรณ์พื้นฐาน (Basic Device Driver) ออกจากการเปลี่ยนแปลงระบบที่ดำเนินการโดยผู้ใช้เอง

ตัวอย่างเช่น ถ้าทำการบูทเข้า Safe Mode แล้ว Windows ทำงานได้ปกติ แสดงว่าสาเหตุของปัญหาไม่ได้เกิดจากการตั้งค่าดีฟอลท์และไดร์เวอร์ของอุปกรณ์พื้นฐาน จากนั้นก็สามารถหาที่มาของปัญหาโดยการสตาร์ทโปรแกรมต่างๆ ทีละตัวแล้วดูว่าโปรแกรมใดที่ทำให้เกิดปัญหา

สำหรับในกรณีที่คอมพิวเตอร์สตาร์ทเข้าสู่ Safe Mode อย่างอัตโนมัติโดยไม่มีการแสดงพร็อมท์ใดๆ แสดงว่าเกิดปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ Windows ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการติดตั้งโปรแกรมหรืออุปกรณ์ล่าสุด วิธีการแก้ไขนั้น ขั้นแรกให้ทดลองทำการถอนการติดตั้งโปรแกรมดังกล่าวโดยใช้ Add or Remove Programs จากในคอนโทรลพาเนล หรือทำการปิดเครื่องแล้วถอดอุปกรณ์ที่ทำการติดตั้งล่าสุดออก เสร็จแล้วให้ทำการรีสตาร์ท Windows หากยังคงมีปัญหาเช่นเดิม ให้ลองหาสาเหตุต่างๆ ที่เป็นไปได้ และอาจจะต้องใช้วิธีการ System Restore หรืออาจต้องลง Windows ใหม่ถ้าจำเป็น

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

VMware Workstation 6.5.1 Build 126130

VMware ออก VMware Workstation 6.5.1 Build 126130

VMware Workstation เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งของทาง VMware เป็นโปรแกรมสำหรับใช้สร้างจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือที่ในทางเทคนิคเรียกว่าเวอร์ชวลแมชชีน (Virtual Machine) บนระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ท็อป

VMware Workstation ช่วยให้สามารถรันระบบปฏิบัติการหลายๆ ตัวบนเครื่องคอมพิวเตอร์จริง (กายภาพ) ตัวเดียว โดย VMware Workstation นั้นเหมาะกับการใช้งานในลักษณะการการทดสอบและพัฒนาซอฟต์แวร์ การทดสอบโปรแกรม การทดลองด้านเทคนิคต่างๆ เป็นต้น

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา VMware ได้ออก VMware Workstation 6.5.1 Build 126130 ซึ่งเป็นรีลีสที่สองของเวอร์ชัน 6.5 โดยในเวอร์ชันใหม่นี้มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มขึ้นหลายอย่างด้วยกัน ตามรายละเอียดด้านล่าง

ท่านที่สนใจลองใช้งานโปรแกรม VMware Workstation 6.5.1 ซึ่งทาง VMware ให้ทดลองใช้ได้ 30 วัน โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ VMware Workstation for Window - Downloads

ฟีเจอร์ใหม่ใน VMware Workstation 6.5.1 Build 126130
VMware Workstation 6.5.1 Build 126130 มีฟีเจอร์ใหม่ ดังนี้
• Japanese localization
• Smart card support for Linux guests
• Unity mode on Linux guests
• 3-D graphics

ความต้องการระบบฮาร์ดแวร์
VMware Workstation 6.5 มีความต้องการระบบฮาร์ดแวร์ ดังนี้
• เครื่องคอมพิวเตอร์ตามมาตรฐาน x86-compatible หรือ x86-64-compatible
• ซีพียูที่มีความเร็วอย่างตำ 733MHz
>>>Intel - Celeron, Pentium II, Pentium III, Pentium 4, Pentium M (รวมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Centrino mobile technology), Xeon (รวมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ “Prestonia”), Core และ Core 2 processors
>>>AMD - Athlon, Athlon MP, Athlon XP, Athlon 64, Duron, Opteron, Turion 64 และ Sempron
• รองรับ Multiprocessor systems
• รองรับระบบปฏิบัติการเกสต์เวอร์ชัน 64 บิต นั้นจะรองรับเฉพาะระบบที่ใช้ซีพียูดังนี้
1. AMD Athlon 64 Revision D หรือใหม่กว่า AMD Opteron, AMD Turion 64 และ Sempron
2. Intel Pentium 4 และ Core 2 processors with EM64T และ Intel Virtualization Technology

• หน่วยความจำขั้นตำ 512 MB (แนะนำให้ใช้ 2 GB) และเวอร์ชวลแมชชีนแต่ละตัวจะรองรับหน่วยความจำได้สูงสุด 8GB
• ดิสเพลย์อะแด็ปเตอร์แบบ 16-bit หรือ 32-bit
• ฮาร์ดดิสก์ มีความต้องการดังนี้
>>>- รองรับฮาร์ดดิสก์แบบ IDE และ SCSI
>>>- พื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 200 MB สำหรับการติดตั้งบนระบบปฏิบัติการ Linux และ 1.5 GB สำหรับารติดตั้งบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์
>>>- พื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 1 GB สำหรับการติดตั้งระบบปฏิบัติการเกสต์แต่ละตัว
• ไดร์ฟ CD-ROM/DVD-ROM
>>>- รองรับไดร์ฟแบบ IDE และ SCSI
>>>- รองรับไดร์ฟCD-ROM และ DVD-ROM drives are supported.
>>>- รองรับไฟล์สก์อิมเมจแบบ ISO
• ไดร์ฟ Floppy

ระบบปฏิบัติการโฮตส์ที่รองรับ
ระบบปฏิบัติการโฮตส์คือระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์จริง (กายภาพ) ที่จะใช้ในการติดตั้งโปรแกรม VMware Workstation โดยเวอร์ชัน 6.5 นั้น รองรับระบบปฏิบัติการโฮตส์ที่เป็น Windows 32 บิต และ 64 บิต ดังนี้

ระบบปฏิบัติการ Windows 32 บิต
• Windows Vista Enterprise Edition, SP1
• Windows Vista Business Edition, SP1
• Windows Vista Home Basic and Premium Editions, SP1
• Windows Vista Ultimate Edition, SP1 (Listed versions are also supported with no service pack.)
• Windows Server 2003 Standard Edition with SP1
• Windows Server 2003 Web Edition with SP1
• Windows Server 2003 Small Business Edition with SP1
• Windows Server 2003 Enterprise Edition with SP1
• Windows Server 2003 R2, SP2
• Windows XP Home Edition with SP2 or later service pack
• Windows XP Professional with SP2 or later service pack
• Windows 2000 Server with SP4
• Windows 2000 Professional with SP4
• Windows 2000 Advanced Server with SP4

ระบบปฏิบัติการ Windows 64 บิต
• Windows Vista Enterprise Edition, SP1
• Windows Vista Business Edition, SP1
• Windows Vista Home Basic and Premium Editions, SP1
• Windows Vista Ultimate Edition, SP1 (Listed versions are also supported with no service pack.)
• Windows Server 2003 x64 Edition with SP1
• Windows Server 2003 x64 Edition R2 SP2
• Windows XP Professional x64 Edition with SP1 or later service pack

ระบบปฏิบัติการ Linux 32 บิต
• Asianux Server 3
• CentOS 5.2
• CentOS 5.1
• CentOS 5.0
• Mandriva Corporate Desktop 4.0
• Mandriva Corporate Server 4.0
• Oracle Enterprise Linux 5.2
• Oracle Enterprise Linux 5.1
• Oracle Enterprise Linux 5.0
• Red Hat Enterprise Linux 5.2 WS
• Red Hat Enterprise Linux 5.2 AS, ES
• Red Hat Enterprise Linux 5.1 WS
• Red Hat Enterprise Linux 5.1 AS, ES
• Red Hat Enterprise Linux 5.0
• Red Hat Enterprise Linux 4.7
• Red Hat Enterprise Linux 4.6
• Red Hat Enterprise Linux WS 4.5 (formerly called 4.0 Update 5)
• Red Hat Enterprise Linux AS 4.0, updates 1, 2, 3, 4
• Red Hat Enterprise Linux ES 4.0, updates 1, 2, 3, 4
• Red Hat Enterprise Linux WS 4.0, updates 1, 2, 3, 4
• SUSE Linux Enterprise Server 10 SP1
• SUSE Linux Enterprise Server 9, SP1, SP2, SP3, SP4
• SUSE Linux Enterprise Desktop 10, SP1, SP2
• Listed versions are also supported with no service pack.
• openSUSE 10.3 (experimental)
• openSUSE 10.2 (formerly known as SUSE Linux 10.2)
• Ubuntu Linux 8.04
• Ubuntu Linux 7.10
• Ubuntu Linux 7.04
• Ubuntu Linux 6.10
• Ubuntu Linux 6.06

ระบบปฏิบัติการ Linux 64 บิต
• Asianux Server 3
• CentOS 5.2
• CentOS 5.1
• CentOS 5.0
• Mandriva Corporate Desktop 4.0
• Mandriva Corporate Server 4.0
• Oracle Enterprise Linux 5.2
• Oracle Enterprise Linux 5.1
• Oracle Enterprise Linux 5.0
• Red Hat Enterprise Linux 5.2 WS
• Red Hat Enterprise Linux 5.2 AS, ES
• Red Hat Enterprise Linux 5.1 WS
• Red Hat Enterprise Linux 5.1 AS, ES
• Red Hat Enterprise Linux 5.0
• Red Hat Enterprise Linux 4.7
• Red Hat Enterprise Linux 4.6
• Red Hat Enterprise Linux 4.5 (formerly called 4.0 Update 5)
• Red Hat Enterprise Linux AS 4.0, updates 3, 4
• Red Hat Enterprise Linux ES 4.0, updates 3, 4
• Red Hat Enterprise Linux WS 4.0, updates 3, 4
• Red Hat Enterprise Linux AS 3.0, stock 2.4.21, updates 2.4.21-15, 6, 7, 8
• Red Hat Enterprise Linux ES 3.0, stock 2.4.21, updates 2.4.21-15, 6, 7, 8
• Red Hat Enterprise Linux WS 3.0, stock 2.4.21, updates 2.4.21-15, 6, 7, 8
• SUSE Linux Enterprise Server 10, SP1
• SUSE Linux Enterprise Server 9, SP1, SP2, SP3, SP4
• SUSE Linux Enterprise Desktop 10, SP1, SP2 (Listed versions are also supported with no service pack.)
• openSUSE 10.3
• openSUSE 10.2 (formerly known as SUSE Linux 10.2)
• Ubuntu Linux 8.04
• Ubuntu Linux 7.10
• Ubuntu Linux 7.04
• Ubuntu Linux 6.10
• Ubuntu Linux 6.06

ระบบปฏิบัติการเกสต์ที่รองรับ
ระบบปฏิบัติการเกสต์คือระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์จำลอง (เวอร์ชวลแมชชีน) ที่สร้างขึ้นโดยโปรแกรม VMware Workstation โดยเวอร์ชัน 6.5 นั้น รองรับระบบปฏิบัติการเกสต์ที่เป็น Windows 32 บิต และ 64 บิต ดังนี้

หมายเหตุ:
การใช้ระบบปฏิบัติการเกสต์เวอร์ชัน 64 บิต นั้นจะรองรับเฉพาะระบบที่ใช้ซีพียูดังนี้
1. AMD Athlon 64 Revision D หรือใหม่กว่า AMD Opteron, AMD Turion 64 และ Sempron
2. Intel Pentium 4 และ Core 2 processors with EM64T และ Intel Virtualization Technology

ระบบปฏิบัติการ Windows 32 บิต
• Windows Vista Home Basic and Premium
• Windows Vista Business
• Windows Vista Enterprise
• Windows Vista Ultimate (Aero and 3-D effects not yet supported)
• Windows Server 2008 Standard Edition without Hyper-V
• Windows Server 2008 Datacenter Edition without Hyper-V
• Windows Server 2008 Enterprise Edition without Hyper-V(Aero and 3-D effects not yet supported)
• Windows Server 2003 Standard Edition
• Windows Server 2003 Small Business Edition
• Windows Server 2003 Web Edition
• Windows XP Professional
• Windows XP Home Edition
• Windows PE
• Windows RE
• Windows 2000 Professional
• Windows 2000 Server
• Windows 2000 Advanced Server
• Windows NT 4.0 Workstation with SP6
• Windows NT 4.0 Server with SP6
• Windows NT 4.0 Terminal Server Edition with SP6
• Windows Me
• Windows 98
• Windows 95
• Windows for Workgroups
• MS-DOS

ระบบปฏิบัติการ Windows 64 บิต
• Windows Vista Home Basic and Premium
• Windows Vista Business
• Windows Vista Enterprise
• Windows Vista Ultimate (Aero and 3-D effects not yet supported)
• Windows Server 2008 x64 Standard Edition without Hyper-V
• Windows Server 2008 Datacenter x64 Edition without Hyper-V
• Windows Server 2008 Enterprise x64 Edition without Hyper-V (Aero and 3-D effects not yet supported)
• Windows Server 2003 x64
• Windows Server x64
• Windows XP Professional x64
• Windows PE x64
• Windows RE x64

ระบบปฏิบัติการ Linux 32 บิต
• Asianux Server
• CentOS
• Mandrake Linux
• Mandriva Linux
• Mandriva Corporate Desktop
• Mandriva Corporate Server
• Novell Linux Desktop
• Oracle Enterprise Linux
• Red Hat Linux
• Red Hat Enterprise Linux
• Red Hat Enterprise Linux Advanced Server (AS)
• Red Hat Enterprise Linux Enterprise Server (ES)
• Red Hat Enterprise Linux Workstation
• Red Hat Enterprise Linux Desktop with or without the Workstation (Option)
• Red Hat Enterprise Linux Advanced Platform with or without the (Workstation Option)
• SUSE Linux
• openSUSE Linux
• SUSE Linux Enterprise Server
• SUSE Linux Enterprise Desktop
• Turbolinux Server
• Turbolinux Enterprise Server
• Turbolinux Workstation
• Turbolinux Desktop
• Ubuntu Linux

ระบบปฏิบัติการ Linux 64 บิต
• Asianux Server
• CentOS
• Mandriva Linux
• Mandriva Corporate Desktop
• Mandriva Corporate Server
• Oracle Enterprise Linux
• Red Hat Enterprise Linux
• Red Hat Enterprise Linux Advanced Server (AS)
• Red Hat Enterprise Linux Enterprise Server (ES)
• Red Hat Enterprise Linux Workstation
• Red Hat Enterprise Linux Desktop with or without the Workstation (Option)
• Red Hat Enterprise Linux Advanced Platform with or without the Workstation (Option)
• SUSE Linux
• openSUSE Linux
• SUSE Linux Enterprise Server
• SUSE Linux Enterprise Desktop
• Turbolinux Server
• Ubuntu Linux

VMware Workstation 6.5.1

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

Scanning Network with Superscan 4.0

การตรวจสอบระบบเน็ตเวิร์กด้วย SuperScan 4.0
SuperScan v4.0 เป็นหนึ่งในสุดยอดโปรแกรมสำหรับใช้ในการสแกนพอร์ต TCP pinger resolver โดย SuperScan จะทำงานในแบบ connect-based ใช้เทคนิคแบบ Multithreaded และ asynchronous ซึ่งทำให้มีความเร็วในการทำงานสูงและประยุกต์ใช้งานได้ในหลายรูปแบบ

หมายเหตุ:
ใน Windows XP SP2 นั้น ไมโครซอฟท์ได้ปิดการรองรับ raw sockets ซึ่งทำให้การสแกนระบบเครือข่ายด้วย SuperScanc และเครื่องมืออื่นๆ อีกหลายตัวจะถูกจำกัดความสามารถลง อย่างไรก็ตามสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันบางส่วนได้โดยการรันคำสั่งก่อนที่จะทำการสแกนด้วย SuperScan ดังนี้ net stop SharedAccess

รายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรม SuperScan v4.0
ชื่อโปรแกรม: SuperScan
ชื่อไฟล์: superscan4.zip
เวอร์ชัน: 4.0
ขนาดโปรแกรม: 197 KB
การใช้งาน: Stand-alone (ใช้งานโดยไม่ต้องติดตั้งลงเครื่องคอมพิวเตอร์)
ระบบปฏิบัติการที่รองรับ: Windows 2000 และ XP (SuperScan v3.0 จะรองรับการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ Windows 95/98/ME ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ http://www.foundstone.com/us/resources/proddesc/superscan3.htm)
ประเภทลิขสิทธิ์: Freeware
ดาวนโหลดลิงค์: http://www.foundstone.com/us/resources/proddesc/superscan4.htm (การดาวน์โหลดต้องยอมรับเงื่อนไขการใช้งานก่อน)

หมายเหตุ:
SuperScan 4.0 นั้น จะมีอ็อปชันต่างๆ ให้เลือกใช้งานมากกว่า Version 3.0 แต่ เวอร์ชัน 3.0 จะทำงานได้เร็วกว่า

ฟีเจอร์ของ SuperScan v4.0
- Superior scanning speed
- Support for unlimited IP ranges
- Improved host detection using multiple ICMP methods
- TCP SYN scanning
- UDP scanning (two methods)
- IP address import supporting ranges and CIDR formats
- Simple HTML report generation
- Source port scanning
- Fast hostname resolving
- Extensive banner grabbing
- Massive built-in port list description database
- IP and port scan order randomization
- A selection of useful tools (ping, traceroute, Whois etc)
- Extensive Windows host enumeration capability

เริ่มต้นใช้งาน SuperScan 4.0
หลังจากทำการดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการแตกไฟล์ซึ่งจะได้ไฟล์จำนวน 3 ไฟล์ด้วยกันคือ ReadMe.txt, Registry.txt และ SuperScan4.exe สำหรับวิธีการใช้งานนั้น มีขั้นตอนดังนี้

หมายเหตุ:
ในที่นี้ทำการทดลองบนระบบปฏิบัติการ Windows XP Service Pack 3

1. เปิดโปรแกรม SuperScan 4.0 โดยการดับเบิลคลิกไฟล์ SuperScan4.exe
2. ในหน้าต่างโปรแกรม SuperScan 4.0 บนแท็บ Scan ให้ใส่ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์หรือหมายเลขไอพีที่ต้องการสแกนในกล่อง Hostname/IP ถ้าต้องการสแกนช่วงหมายเลขไอพีให้ใส่หมายเลขไอพีเริ่มต้นในกล่อง Start IP และ หมายเลขไอพีสุดท้ายในกล่อง End IP เสร็จแล้วคลิกปุ่มที่มีเครื่องหมายลูกศร -> โดยการสแกนแต่ละครั้งนั้น สามารถใส่ได้หลายหมายเลขไอพี หลายช่วงหมายเลขไอพี และหลายคลาสของหมายเลขไอพี


รูปที่ 1 Scan IP and IP range

3. เริ่มทำการสแกนโดยการคลิกปุ่มที่มีเครื่องหมายสามเหลี่ยม ถ้าวินโดวส์แสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Windows Security Alert ให้คลิก Unblock เพื่ออนุญาตให้โปรแกม SuperScan ผ่าน Windows Firewall ได้ จากนั้นรอให้โปรแกรมทำงานแล้วเสร็จ โดยที่เวลาที่ใช้ในการสแกนนั้นขึ้นอย่กับจำนวนหมายเลขไอพีที่ต้องการสแกนและการตั้งค่าโปรแกรม SuperScan


รูปที่ 2 Start scan

4. เมื่อโปรแกรม SuperScan ทำงานเสร็จแล้วจะแสดงผลการสแกนดังรูปที่ 3 โดยจะแจ้งว่ามีคอมพิวเตอร์กี่เครื่องที่สแกนเจอ (Live hosts this batch: 10)

หมายเหตุ:
สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สแกนไม่เจอนั้น อาจจะไม่ได้เปิดใช้งานอยู่หรืออาจจะมีโปรแกรมป้องกันการสแกน เช่น โปรแกรม Firewall ก็เป็นได้


รูปที่ 3 Scan results

5. หากต้องการดูผลการสแกนในรูปแบบเว็บ (HTML) ก็สามารถทำได้โดยการคลิกที่ปุ่ม View HTML results ซึ่งโปรแกรม SuperScan จะแสดงผลการสแกนแบบหน้าเว็บดังรูปที่ 4


รูปที่ 4 HTML results

การคอนฟิก SuperScan


รูปที่ 5 Host and Service Discovery


รูปที่ 6 Options


รูปที่ 7 Tools


รูปที่ 8 Windows Enumeration

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• โฮมเพจ McAfee Foundstone: http://www.foundstone.com/us/index.asp

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

Wednesday, November 26, 2008

ไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดท Re-Releases (MS07-005)

ไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดท Re-Releases
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ทำการออกซีเคียวริตี้อัพเดทใหม่ 1 ตัว คือ ซีเคียวริตี้อัพเดทหมายเลข MS07-005 โดยมีรายละเอียดดังนี้

MS07-005: Vulnerability in Step-by-Step Interactive Training Could Allow Remote Code Execution (923723)
อัพเดทลิงค์: http://www.microsoft.com/technet/security/bulletin/ms07-005.mspx
เหตุผลในการปรับปรุง: เพิ่ม Windows XP Service Pack 3 เข้าเป็นซอฟต์แวร์ที่ได้รับผลกระทบ
แก้ไขชื่อไฟล์จาก wwmasf.dll เป็น wmasf.dll ในส่วนข้อมูลไฟล์ของ Windows Media Format 9.5 Runtime บน Windows Server 2003 x64
การอัพเดทตัวนี้จะแทนการอัพเดทตัวเดิมที่ออกเมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2550
วันที่ออกอัพเดท: 25 พฤศจิกายน 2551
ระดับความร้านแรง: ระดับสูง (Important)
เวอร์ชัน: 2.0
ผลกระทบ: Remote Code Execution
ซอฟต์แวร์ที่ได้รับผลกระทบ:
- Windows 2000 SP4
- Windows XP SP3
- Windows XP SP2
- Windows XP Professional x64 Edition
- Windows Server 2003
- Windows Server 2003 SP1
- Windows Server 2003 for Itanium-based Systems
- Windows Server 2003 SP1 for Itanium-based Systems
- Windows Server 2003 x64 Edition
Thai Windows Administrator Blog
MS07-005
© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

ไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดท Minor Revisions

ไมโครซอฟท์ซีเคียวริตี้อัพเดท Minor Revisions
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ทำการปรับปรุงซีเคียวริตี้อัพเดทจำนวน 2 ตัว คือ ซีเคียวริตี้อัพเดทหมายเลข MS07-068 และ MS06-078 เป็น Revision 2.3 และ 6.1 ตามลำดับ ตามรายละเอียดดังนี้

MS07-068: Vulnerability in Windows Media File Format Could Allow Remote Code Execution (941569 and 944275)
อัพเดทลิงค์: http://www.microsoft.com/technet/security/bulletin/ms07-068.mspx
เหตุผลในการปรับปรุง:แก้ไขชื่อไฟล์จาก wwmasf.dll เป็น wmasf.dll ในส่วนข้อมูลไฟล์ของ Windows Media Format 9.5 Runtime บน Windows Server 2003 x64
การอัพเดทตัวนี้จะแทนการอัพเดทตัวเดิมที่ออกเมื่อ: 11 ธันวาคม 2550
วันที่ออกอัพเดท: 25 พฤศจิกายน 2551
ระดับความร้านแรง: ระดับวิกฤต (Critical)
เวอร์ชัน: 2.3
ผลกระทบ: Remote Code Execution
ซอฟต์แวร์ที่ได้รับผลกระทบ:
- Windows Media Format Runtime 7.1 บน Microsoft Windows 2000 Service Pack 4 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 9 บน Microsoft Windows 2000 Service Pack 4 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 9 บน Windows XP Service Pack 2 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 9.5 บน Windows XP Service Pack 2 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 9.5 บน Windows XP Professional x64 Edition และ Windows XP Professional x64 Edition Service Pack 2 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 9.5 บน Windows Server 2003 Service Pack 1 และ Windows Server 2003 Service Pack 2 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 9.5 บน Windows Server 2003 x64 Edition และ Windows Server 2003 x64 Edition Service Pack 2 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 9.5 x64 Edition บน Windows Server 2003 x64 Edition และ Windows Server 2003 x64 Edition Service Pack 2 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 9.5 x64 Edition บน Windows XP Professional x64 Edition และ Windows XP Professional x64 Edition Service Pack 2 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 11 บน Windows XP Service Pack 2 (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 11 บน Windows XP Professional x64 Edition และ Windows XP Professional x64 Edition Service Pack 2(KB941569)
- Windows Media Format Runtime 11 บน Windows Vista (KB941569)
- Windows Media Format Runtime 11 บน Windows Vista x64 Edition (KB941569)
- Windows Media Services 9.1 บน Windows Server 2003 Service Pack 1 และ Windows Server 2003 Service Pack 2 (KB944275)
- Windows Media Services 9.1 x64 Edition บน Windows Server 2003 x64 Edition และ Windows Server 2003 x64 Edition Service Pack 2 (KB944275)

MS06-078: Vulnerability in Windows Media Format Could Allow Remote Code Execution (923689)
อัพเดทลิงก์: http://www.microsoft.com/technet/security/bulletin/ms06-078.mspx
เหตุผลในการปรับปรุง: แก้ไขชื่อไฟล์จาก Wwmvcore.dll เป็น Wmvcore.dll ในส่วนข้อมูลไฟล์ของ Windows Media Format 9.5 Runtime บน Windows XP Professional x64 และ Windows Server 2003 x64
การอัพเดทตัวนี้จะแทนการอัพเดทตัวเดิมที่ออกเมื่อ: 12 ธันวาคม 2549
วันที่ออกอัพเดท: 25 พฤศจิกายน 2551
ระดับความร้านแรง: วิกฤต (Critical)
เวอร์ชัน: 6.1
ผลกระทบ: Remote Code Execution
ซอฟต์แวร์ที่ได้รับผลกระทบ:
• Microsoft Windows Media Format Runtime 7.1 ถึง 9.5 บนระบบ
- Microsoft Windows 2000 Service Pack 4
- Microsoft Windows XP Service Pack 2 และ Microsoft Windows XP Service Pack 3
- Microsoft Windows XP Professional x64
- Microsoft Windows Server 2003, Microsoft Windows Server 2003 Service Pack 1
- Microsoft Windows Server 2003 x64
• Microsoft Windows Media Format Runtime 9.5 บนระบบ
- Microsoft Windows XP Professional x64
- Microsoft Windows Server 2003 x64
• Microsoft Windows Media Format Runtime 6.4 บนระบบ
- Windows 2000 Service Pack 4
- Microsoft Windows XP Service Pack 2
- Microsoft Windows XP Professional x64 และ Microsoft Windows XP Professional x64 Service Pack 2
- Microsoft Windows Server 2003, Microsoft Windows Server 2003 Service Pack 1, และ Microsoft Windows Server 2003 Service Pack 2
- Microsoft Windows Server 2003 x64 และ Microsoft Windows Server 2003 x64 Service Pack 2
http://thaiwinadmin.blogspot.com

Add to Technorati Favorites  Add to Google  Add to delicious.com  Add to digg.com
MS07-068 MS06-078
© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

CCleaner 2.14.750

CCleaner 2.14.750
CCleaner คือโปรแกรมสำหรับใช้ทำความสะอาดไฟล์ขยะและไฟล์ชั่วคราวต่างๆ ของวินโดวส์ ซึ่งพัฒนาโดยทีมพัฒนาของ Periform Limited ในประเทศอังกฤษ เป็นซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ใช้งานกันฟรีๆ ซึ่งมีการดาวน์โหลดไปใช้งานกันเป็นจำนวนถึงกว่า 210 ล้านครั้ง (นับถึงเดือนพฤศจิกายน 2551) และเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมาทาง Piriform Limited ได้ออก CCleaner เวอร์ชันใหม่ล่าสุด คือ v2.14.750 โดยได้ทำการปรับปรุงด้านต่างๆ ดังนี้

มีอะไรใหม่ใน CCleaner 2.14.750
- Added support for Windows 7.
- Improved Google Chrome support (build 0.4).
- Opera cookie management added.
- Improved Recycle Bin cleaning.
- Added a warning when cleaning Google Chrome and it's running.
- Search Autocomplete cleaning now XP only.
- Improve file association Registry Cleaning.
- Fixed bug with context menus and excessive CPU usage.
- Fixed GUI colors on high contrast themes.
- Minor GUI bugs fixed.
- Minor performance improvements.

การดาวน์โหลดโปรแกรม CCleaner
สำหรับท่านที่สนใจใช้งาน สามารถทำการดาวน์โหลด CCleaner 2.14.750 ได้จากเว็บไซต์ CCleaner หรือจากเว็บไซต์ Filehippo ซึ่งไฟล์จะมีขนาดประมาณ 2.904 MB

การติดตั้งโปรแกรม CCleaner
เมื่อทำการดาวน์โหลดเสร็จแล้ว ก็เริ่มติดตั้งกันเลย

1. ให้ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ ccsetup21x.exe ที่ดาวน์โหลดมา (x เป็นเวอร์ชัน = 3 หรือ 4 แล้วแต่ว่าดาวน์โหลดตัวไหนมา แนะนำให้ใช้ตัวใหม่ที่สุดครับ)จะได้ดังรูปที่ 1
2. จากรูปที่ 1 ให้เลือกติดตั้งเป็นภาษาอังกฤษ แล้วคลิก OK


รูปที่ 1 Installer Language

3. ในหน้า ccleaner v2.xx setup ดังรูปที่ 2 ให้คลิก Next


รูปที่ 2. ccleaner v2.xx setup

4.ในหน้า License Agreement ดังรูปที่ 3 ให้คลิก I Agree


รูปที่ 3. License Agreement

5. ในหน้า Choose Install Location ดังรูปที่ 4 ให้คลิก Next


รูปที่ 4. Choose Install Location

6. ในหน้า Install Options ดังรูปที่ 5 ให้เลือกอ็อปชันที่ต้องการ เสร็จแล้วคลิก Install


รูปที่ 5. Install Options

7. ในหน้า Completing the CCleaner v1.xx Setup Wizard ดัวรูปที่ 6 ให้คลิก Finish


รูปที่ 6. Completing the CCleaner v2.xx Setup Wizard

เริ่มต้นใช้งาน CCleaner
เมื่อทำการติดตั้งแล้วเสร็จก็เริ่มต้นใช้งานกันเลย

1. ทำการเปิดโปรแกรมโดยการดับเบิลคลิกที่ชอร์ตคัท ccleaner บนเดสท็อป ซึ่งจะได้หน้าต่างเริ่มต้นโปรแกรม CCleaner ดังรูปที่ 7 ซึ่งเป็นหน้าการตั้งค่าการลบไฟล์ต่างๆ ของวินโดวส์ ซึ่งมี 4 หัวข้อ คือ Internet Explotrer, Windows Explorer, System และ Advanced โดยในหน้านีให้เราเลือกค่าที่ต้องการลบตามความต้องการ


รูปที่ 7. Cleaner Windows

2. ให้คลิกที่แท็ป Applications จะได้หน้าต่างดังรูปที่ 8 ซึ่งเป็นหน้าการตั้งค่าการลบไฟล์ต่างๆ ของโปรแกรมประยุกต์ ในส่วนนี้อาจจะแตกต่างกันไปในคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องนั้นๆ ให้เราเลือกค่าที่ต้องการลบตามความต้องการ


รูปที่ 8. Cleaner App;ications

3. ให้คลิกที่ Issues จะได้หน้าต่างดังรูปที่ 9 ซึ่งเป็นหน้าการตั้งค่าการหัวข้อต่างๆ ที่ต้องการสแกน โดยจะมีอยู่ 2 หัวข้อ คือ Registry Integrity และ File Integrity ให้เราเลือกหัวข้อตามความต้องการ (แนะนำให้ใช้ค่าที่โปรแกรมกำหนดให้)


รูปที่ 9. Issues

4. ให้คลิกที่ Tools ซึ่งจะมี 2 หัวข้อย่อย คือ Uninstall และ Startup ดังรูปที่ 10 และ 11 ตามลำดับ

4.1 หน้าต่าง Uninstall ดังรูปที่ 10 จะแสดงโปรแกรมต่างๆ ที่ติดตั้งอยูภายในคเรื่อง และเราสามารถทำการ ยกเลิกการติดตั้งโปรแกรม หรือ เปลียนชื่อโปรแกรมที่ติดตั้งอยู่ หรือ ลบรายชื่อโปรแกรมที่ติดตั้งอยู่ออก ได้โดยการคลิกเลือกโปรแกรมที่ต้องการแล้วคลิกที่คำสั่งในด้านขวาของหน้าต่าง


รูปที่ 10. Uninstall

4.2 หน้าต่าง Startup ดังรูปที่ 11 จะแสดงโปรแกรมต่างๆ ที่เริ่มทำงานในพร้อมกับการสตารท์ระบบวินโดวส์ เราสามารถทำการ ลบโปรแกรมที่ไม่ต้องการให้ทำกงานเมื่อสตารท์ระบบวินโดวส์ โดยการคลิกเลือกหัวข้อที่ต้องการแล้วคลิกคำสั่ง Delete Entry ในด้านล่างของหน้าต่าง


รูปที่ 11. Startup

5. เมื่อคลิกที่ Options จะได้หน้าต่างแสดงรายละเอียดของโปรแกรมดังรูปที่ 12


รูปที่ 12. About

6. ในหน้าต่าง Options ให้คลิกที่ Advanced เพื่อทำการตั้งค่าในขั้นสูง จะได้หน้าต่างดังรูปที่ 13 จากนั้นทำการตั้งค่าตามความต้องการโดยการคลิกเลือกเชคบ็อกซ์หน้าหัวข้อที่ต้องการให้มีเครื่องหมายถูกหากต้องการเลือกข้อนั้นให้ทำงาน


รูปที่ 13. Advanced

7. ในหน้าต่าง Options ให้คลิกที่ Custome เพื่อทำการตั้งค่าไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการลบ จะได้หน้าต่างดังรูปที่ 14 จากนั้นทำการเลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์โดยการคลิกที่ Add File หรือ Add Folder ตามความเหมาะสม ในกรณีที่เลือกเป็นโฟลเดอร์นั้นโปรแกรมจะให้ยืนยันการลบ ให้คลิก Yes เพื่อยืนยัน


รูปที่ 14. Custome

8. ในหน้าต่าง Options ให้คลิกที่ Cookies เพื่อทำการตั้งค่าเกี่ยวกับคุกกี้ จะได้หน้าต่างดังรูปที่ 15 จากนั้นทำการเลือกว่าจะไม่ลบคุกกี้ตัวไดบ้าง โดยการคลิกเลือกตัวที่ต้องการแล้วคลิกที่ลูกศรที่ชี้ไปทางด้านขวามือ


รูปที่ 15. Cookies

9. ในหน้าต่าง Options ให้คลิกที่ Settings เพื่อทำการตั้งค่าการทำงานของ CCleaner จะได้หน้าต่างดังรูปที่ 16 จากนั้นทำการให้เลือกค่าตามความต้องการ โดยการคลิกเลือกเชคบ็อกซ์หน้าหัวข้อที่ต้องการให้มีเครื่องหมายถูกหากต้องการเลือกข้อนั้นให้ทำงาน


รูปที่ 16. Options settings

10. เมื่อตั้งค่าต่างๆ เสร็จแล้ว ให้กลับไปยังหน้าเริ่มต้นโดยการคลิกที่ Cleaner จากนั้นคลิกปุ่ม Analyze เพื่อให้โปรแกรมทำการวิเคราะห์ระบบ รอจนกว่าการทำงานแล้วเสร็จ จะได้หน้าต่างที่มีลักษณะดังรูปที่ 17


รูปที่ 17. Analyze

11. ในหน้าต่าง Cleaner เมื่อการ Analyze แล้วเสร็จ ให้คลิดที่ปุ่ม Run Cleaner เพื่อทำการลบไฟล์ต่างๆ โดยโปรแกรมจะแจ้งเตือนว่าจะทำการลบข้อมูลอย่างถาวรดังรูปที่ 18 ให้ยืนยันการลบโดยการคลิก Yes


รูปที่ 18. Confirm

12. เมื่อโปรแกรมทำงานแล้วเสร็จก็จะแสดงรายละเอียดต่างๆ เช่น ขนาดไฟล์โดยรวมที่ทำการลบ และรายการของไฟล์ที่ทำการลบ ดังรูปที่ 19 ปิดโปรแกรมเพื่อจบการทำงาน


รูปที่ 19. Clean finished

การรันโปรแกรม CCleaner จาก Recycle Bin
นอกจากนี้แล้วยังสามารถรันโปรแกรม CCleaner โดยการคลิกขวาที่ Recycle Bin แล้วเลือก Run CCleaner ดังรูปที่ 20 ซึ่งจะทำการคลีนเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่ไม่ต้องเปิดโปรแกรม


รูปที่ 20 CCleaner จาก Recycle Bin

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• โฮมเพจ CCleaner: www.ccleaner.com

CCleaner 2.14.750
© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

Monday, November 24, 2008

McAfee Stinger v10.0.0.457

McAfee Stinger v10.0.0.457
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมานั้น ทาง McAfee.com ได้อัพเดท Stinger ซึ่งเป็น เครื่องมือฟรีสำหรับใช้ในการตรวจจับและกำจัดไวรัสแบบ Stand-alone (ใช้งานได้โดยไม่ต้องทำการติดตั้งลงเครื่อง) เป็นเวอร์ชัน 10.0.0.457 โดยจะเพิ่มความสามารถในการสแกนไวรัสตระกูล W32/Autorun variants

การดาวน์โหลด
สำหรับผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลดโปรแกรม Stinger v10.0.0.457 และ Fix tools อื่นๆ ได้จากเว็บไซต์ของ http://vil.nai.com/vil/stinger/ โดยไฟล์โปรแกรม Stinger v10.0.0.457 จะมีขนาดประมาณ 2.748 MB

การใช้งาน Stinger
วิธีการใช้งาน Stinger นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ซึ่งมีให้เลือกใช้งานในสองรูปแบบ คือ

1. แบบกราฟิกอินเทอร์เฟช (Graphic User Interface)
วิธีการใช้งานแบบกราฟิกอินเทอร์เฟชนั้น เมื่อทำการดาวน์โหลดเสร็จแล้วให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

1. ให้ท่องไปยังโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์ที่ทำการดาวน์โหลดมา จากนั้นทำการดับเบิลคลิกไฟล์ Stinger.exe ซึ่งจะได้หน้าจอดังรูปที่ 1


รูปที่ 1 McAfee Stinger

2. ค่าดีฟอลท์นั้นจะทำการสแกนไดรฟ์ C: หากต้องการเลือกไดรฟ์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการสแกนไวรัสโดยคลิกที่ Add หรือ Browse หากต้องการลบไดรฟ์หรือโฟลเดอร์ที่ไม่ต้องการสแกนก็ให้เลือกรายการที่ต้องการแล้วคลิก Remove
3. หากต้องการกำหนดรายละเอียดการทำงานของ Stinger ก็ให้คลิกที่ Preferences ดังรูปที่ 2 (ค่าดีฟอลท์ในกรณีที่ Stinger ตรวจพบไวรัสก็จะทำการรีแพร์ไฟล์ที่ติดไวรัสโดยอัตโนมัติ)


รูปที่ 2 Preferences

3. เสร็จแล้วคลิก Scan Now
4. รอจนการทำงานแล้วเสร็จ อาจทำการสแกนอีกรอบเพื่อความแน่ใจ ปิดโปรแกรมเมื่อการทำงานแล้วเสร็จ

2. แบบคอมมานด์ไลน์ (Command-line)
วิธีการใช้งานแบบแบบคอมมานด์ไลน์นั้น เมื่อทำการดาวน์โหลดเสร็จแล้วให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

1. เปิดหน้าต่างคอมมานด์ไลน์โดยคลิกที่ Start คลิก All Programs คลิก Accessories แล้วคลิก Command Prompt
2. ให้เปลี่ยนไปยังไดเร็กตอรีที่เก็บไฟล์ที่ทำการดาวน์โหลดมา จากนั้นพิมพ์ Stinger.exe /? แล้วกด Enter จะได้ไดอะล็อกซ์แสดงรายละเอียดการใช้งาน ซึ่งมีอ็อปชันให้เลือกใช้งานดังนี้
/? = แสดงรายละเอียดการใช้งาน
/ADL = สแกน local drive ทุกไดรฟ์
/GO = ทำการสแกนในทันที่ที่กด Enter
/LOG = ให้บันทึก log file หลังจากการสแกนแล้วเสร็จ
/SILENT = ไม่ต้องแสดงหน้ากราฟิกอินเทอร์เฟช

3. ทำการรัน Stinger.exe อีกครั้งโดยเลือกอ็อปชันที่ต้องการ

แหล่งอ้างอิง
• โฮมเพจ McAfee.com: http://www.mcafee.com

หมายเหตุ:
โปรแกรม McAfee Stinger นั้น ไม่ได้ถูกพัฒนาให้แทนที่โปรแกรมป้องกันไวรัส ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยท่านควรทำการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสบนเครื่อง คอมพิวเตอร์ โดยอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรมป้องกันไวรัสแบบฟรีเวอร์ชันได้ที่ Free AntiVirus Download

McAfee Stinger 10.0.0.457

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

Trojan TROJ_DROPPER.BX

ระวังโทรจัน TROJ_DROPPER.BX
บทความโดย: Windows Administrator Blog

ท่องอินเทอร์เน็ตช่วงนี้ให้ใช้ความระมัดระวังกันหน่อยนะครับ เนื่องจากมีรายงานว่าพบการระบาดของโทรจัน TROJ_DROPPER.BX ซึ่งมันจะปลอมตัวเป็นโปรแกรมช่วยถอดรหัสวิดีโอ (Video codec) ในชื่อไฟล์ว่า UltimateVideoCodec-71.exe เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ทำการติดตั้ง ถ้าหากใครหลงเชื่อและทำการติดตั้งก็จะติดโทรจันทันที

สำหรับช่องทางการแพร่ระบาดของโทรจัน TROJ_DROPPER.BX นี้มันจะติดมากับมัลแวร์ตัวอื่นหรือการดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์ http://{BLOCKED}-x-movies.net/up/UltimateVideoCodec-71.exe และเมื่อมีการรันโปรแกรมไวรัสก็จะทิ้งไฟล์ชื่อ xml2u32h.dll ซึ่งเป็นโทรจัน TROJ_BHO.EZ ที่จะปลอมตัวเป็นโปรแกรมช่วยเหลือบราวเซอร์หรือที่รู้จักกันในชื่อ Browser Helper Object (BHO) ลงเครื่องในไดเร็กตอรี %Windows%\xml2u32h.dll สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้จากเว็บไซต์ในส่วนแหล่งข้อมูลอ้างอิง

วิธีการป้องกันไวรัส
1. การป้องกันไวรัสด้วยโปรแกรม Trust No Exe อ่านรายละเอียดที่ http://thaiwinadmin.blogspot.com/2007/11/kb-112007-17.html
2. ปิดการใช้งาน Autoplay อ่านรายละเอียดที่ http://thaiwinadmin.blogspot.com/2007/07/turnoff-autoplay-on-all-drives-in.html
3. วิธีการป้องกันไวรัสจาก Flash drive อ่านรายละเอียดที่ http://thaiwinadmin.blogspot.com/2007/07/protect-computer-from-flash-drives.html
4. ป้องกันไม่ให้วินโดวส์รันโปรแกรมที่กำหนด อ่านรายละเอียดที่ http://thaiwinadmin.blogspot.com/2007/10/kb-102007-22.html

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• TROJ_DROPPER.BX เว็บไซต์ : http://www.trendmicro.com/vinfo/virusencyclo/default5.asp?VName=TROJ_DROPPER.BX
• TROJ_BHO.EZ เว็บไซต์ : http://www.trendmicro.com/vinfo/virusencyclo/default5.asp?VName=TROJ_BHO.EZ

© 2008 Windows Administrator Blog, All Rights Reserved.

Cloud Computing

Cloud Computing
คิดว่าหลายท่านคงพอได้ยินคำว่า "Cloud Computing" และคงมีหลายคนที่สงสัยว่า Cloud Computing คืออะไร บทความนี้จะเป็นการแนะนำเทคโนโลยี Cloud Computing ซึ่งได้รับการคาดการณ์ว่าจะเป็นนวัตกรรมทางด้านดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคต

• Cloud Computing คืออะไร?
Cloud Computing คือ ถ้าให้คำจำกัดความสั้นๆ เกี่ยวกับคลาวด์ คอมพิวติ้ง ก็ต้องบอกว่า เป็นแนวคิดด้านบริการโดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ทำงานเชื่อมโยงกัน โดยคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกันนั้น อาจจะตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เช่นอยู่ในห้องเดียวกัน หรือว่าอยู่ห่างไกลกันคนละตึก คนละจังหวัด จนถึงคนละประเทศก็ได้

โดยการทำงานระบบ Cloud Computing นั้นจะเป็นลักษณะแบบรวมศูนย์ ซึ่งมีข้อดีคือ ลดความซับซ้อน และยังช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ข้อดีอีกอย่างของ Cloud Computing คือ มีความยืดหยุ่นทำให้สามารถรองรับความต้องการใช้งานได้หลากหลายกว่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยี Grid Computing ที่ค่อนข้างเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน

เนื่องจาก Cloud Computing จะทำงานผ่านทางเทคโนโลยีเสมือน (Virtualization) ทำให้ระบบไม่ถูกจำกัดในเรื่องของสมรรถนะและขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ โดยผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ว่า Cloud Computing นั้นจะเป็นนวัตกรรมทางด้านดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคต

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• http://www-03.ibm.com/press/us/en/pressrelease/22613.wss

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

รู้จักกับ Blu-Ray มาตรฐานใหม่ของการเก็บข้อมูล

รู้จักกับ Blu-Ray มาตรฐานใหม่ของการเก็บข้อมูล
Blu-Ray เป็นมาตรฐานใหม่ของเทคโนโลยีออฟติคอลดิสก์ ซึ่งถูกผลักดันให้มาแทนมาตรฐาน DVD ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยวัตถุประสงค์ของการพัฒนา Blu-Ray นั้นเพื่อใช้ในการบันทึกข้อมูลวิดีโอที่มีความละเอียดสูง (High Definition หรือ HD) โดยความจุการเก็บไฟล์ข้อมูลของแผ่นดิสก์แบบ Blu-Ray นั้น มากกว่าความจุของแผ่นดิสก์แบบ DVD อยู่หลายเท่าตัว ซึ่งแผ่นดิสก์ Blu-Ray แบบ Single-Layer นั้นจะมีความจุการเก็บข้อมูล 25 GB ส่วนแบบ Double-Layer นั้น จะเก็บความจุการเก็บข้อมูลสูงถึง 50 GB นั้นคือแผ่น Blu-Ray แบบ Double-Layer จะสามารถเก็บข้อมูลวิดีโอความละเอียดสูงได้นานถึง 9 ชั่วโมง และสามารถเก็บข้อมูลวิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้กับแผ่น DVD ได้นานถึง 23 ชั่วโมง

ใครเป็นผู้พัฒนามาตรฐาน Blu-Ray?
Blu-Ray เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาโดย Blu-Ray Disc Association (BDA) ซึ่งเป็นสมาคมที่เกิดจากการรวมตัวกันของบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า บริษัทด้านไอทีรายใหญ่ สตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์ และบริษัทอื่นๆ อีกหลายบริษัท เช่น Apple Computer Inc., Dell Inc., Hewlett Packard Company, Hitachi Ltd., LG Electronics Inc., Matsushita Electric Industrial Co., Ltd., Mitsubishi Electric Corporation, Pioneer Corporation, Royal Philips Electronics, Samsung Electronics Co., Ltd., Sharp Corporation, Sony Corporation, TDK Corporation, Thomson Multimedia, Twentieth Century Fox, Walt Disney Pictures, Warner Bros. Entertainment โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อผลักดันให้มาตรฐาน Blu-Ray ให้เป็นที่ยอมรับในตลาด

ชื่อ Blu-Ray มาจากอะไร?
ชื่อ Blu-Ray นั้น มาจากเทคนิคที่ใช้ในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์ โดยจะใช้แสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์แทนการใช้แสงเลเซอร์สีแดงที่ใช้กับแผ่น DVD โดยแสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงนั้นจะมีความยาวของคลื่น 405 nm ซึ่งสั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดงที่มีความยาวคลื่น 650 nm จึงทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงไปในแผ่นดิสก์ได้มากขึ้นในขณะที่ใช้พื้นที่เท่าเดิม


Blu-Ray Disc

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

Sunday, November 23, 2008

How to start Windows Vista in Advanced Boot Options

วิธีการบูทเข้า Advanced Boot Options ใน Windows Vista
บทความนี้จะแสดงวิธีการบูท Windows Vista เข้า Advanced Boot Options ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกอ็อปชันในการสตาร์ท Windows Vista ในโหมดต่างๆ รวมถึง Safe Mode เพื่อทำการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยวิธีการบูทเข้า Advanced Boot Options มีขั้นตอนดังนี้
1. เปิดเครื่องหรือทำการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์
2. กดปุ่ม F8 บนคีย์บอร์ดในระหว่างที่คอมพิวเตอร์กำลังสตาร์ทและก่อนที่จะแสดงโลโก้วินโดวส์
3. ใช้คีย์ลูกศรในการเลือกโหมดที่ต้องการบูท Windows Vista เสร็จแล้วกด Enter


Windows Vista Advanced Boot Options

Advanced Boot Options
ในโหมด Advanced Boot Options ของ Windows Vista มีรายละเอียดดังนี้

• Repair Your Computer
แสดงรายการของ system recovery tools ที่สามารถใช้ในการแก้ไขปัญหาการสตาร์ท Windows Vista รันการตรวจสอบระบบ หรือทำ System Restore โดยที่อ็อปชันนี้จะมีเฉพาะในกรณีที่มีการติดตั้งเครื่องมือบนเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเครื่องมือสำหรับทำ system recovery จะอยู่ในแผ่นดีวีดีติดตั้ง Windows Vista

• Safe Mode
เป็นโหมดที่ทำการสตาร์ท Windows Vista โดยโหลดไดรเวอร์และเซอร์วิสต่างๆ เท่าที่จำเป็น

• Safe Mode with Networking
เป็นโหมดที่ทำการสตาร์ท Windows Vista โดยโหลดไดรเวอร์และเซอร์วิสต่างๆ เท่าที่จำเป็น รวมถึงไดรเวอร์ของระบบเครือข่ายและเซอร์วิสที่จำเป็นในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตหรือคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ บนเครือข่าย

• Safe Mode with Command Prompt
เป็นโหมดที่ทำการสตาร์ท Windows Vista โดยโหลดไดรเวอร์และเซอร์วิสต่างๆ เท่าที่จำเป็นในแบบหน้าต่างคอมมานด์พร้อมท์แทนแบบ Windows Interface วิธีการออกจากโหมด Safe Mode with Command Prompt ทำได้โดยการกดปุ่ม Ctrl+Alt+Delete หรือพิมพ์ Exit แล้วกด Enter

• Enable Boot Logging
เป็นโหมดที่ให้ Windows Vista ทำการสร้างไฟล์ ntbtlog.txt ซึ่งแสดงรายการไดรเวอร์ทั้งหมดในระหว่างการสตาร์ทระบบ

• Enable Low Resolution Video (640 X 480)
เป็นโหมดที่ทำการสตาร์ท Windows Vista โดยใช้ไดรเวอร์วิดีโอปัจจุบันและใช้ค่าความละเอียดและอัตราการรีเฟรชต่ำ สามารถใช้โหมดนี้ในการรีเซ็ตการตั้งค่าการแสดงผล หรือใช้ในต่อจอโทรทัศน์

• Last Know Good Configuration (advanced)
เป็นโหมดที่ทำการสตาร์ท Windows Vista โดยใช้ค่าการคอนฟิกรีจีสทรีและไดรเวอร์ล่าสุดที่ทำงานได้

Directory Services Restore Mode
• เป็นโหมดที่สำหรับทำการสตาร์ทโดเมนคอนโทรลเลอร์ของ Active Directory เพื่อทำการรีสโตร์ directory service อ็อปชันนี้ไมโครซอฟท์สร้างขึ้นเพื่อเจ้าหน้าที่ด้าน IT และ Administrator ใช้งาน

• Debugging Mode
เป็นโหมดที่ทำการสตาร์ท Windows Vista เพื่อทำการแก้ไขปัญหาในขั้นสูง อ็อปชันนี้ไมโครซอฟท์สร้างขึ้นเพื่อเจ้าหน้าที่ด้าน IT และ Administrator ใช้งาน

• Disable Automatic Restart on System Failure
เป็นโหมดที่ป้องกันไม่ให้ Windows Vista ทำการรีสตาร์ทเมื่อเกิดความผิดพลาดในการทำงาน แนะนำให้เลือกอ็อปชันนี้เฉพาะในกรณีที่ Windows Vista เกิดการบูทแบบหลูบ

• Disable Driver Signature Enforcement
เป็นโหมดที่ทำการสตาร์ท Windows Vista โดยอนุญาตให้ติดตั้งไดรเวอร์ต่างๆ ที่มีซิกเนเจอร์ไม่ถูกต้อง

• Start Windows Normally
เป็นโหมดการสตาร์ท Windows Vista สำหรับการใช้งานตามปกติ

Windows Vista Advanced Boot Options

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

How to start Windows Vista in Safe Mode

วิธีการบูท Windows Vista เข้า Safe Mode
บทความนี้จะแสดงวิธีการบูท Windows Vista เข้า Safe Mode ซึ่งเป็นโหมดที่ทำการสตาร์ท Windows Vista โดยโหลดไดร์ฟเวอร์และเซอร์วิสต่างๆ เท่าที่จำเป็น ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับใช้ในการแก้ไขปัญหาการสตาร์ท Windows Vista ไม่ได้ โดยหน้า Safe Mode ของ Windows Vista มีลักษณะดังรูปด้านล่าง


Windows Vista Safe Mode

สำหรับวิธีการบูท Windows Vista เข้า Safe Mode สามารถทำได้ 2 แบบ ดังนี้
1. การเข้า Safe Mode ผ่านทาง Advanced Boot Options
การเข้า Safe Mode ผ่านทาง Advanced Boot Options มีขั้นตอนดังนี้
1. เปิดเครื่องหรือทำการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ กรณีมีใส่แผ่น Floppy disks, CD, DVD หรือต่อ USB Flash drive ให้รีมูฟออกให้เรียบร้อยก่อน
2. กดปุ่ม F8 บนคีย์บอร์ดค้างในระหว่างที่คอมพิวเตอร์กำลังสตาร์ทเข้าหน้าวินโดวส์
3. ในหน้าจอ Advanced Boot Options ให้ใช้คีย์ลูกศรในการเลือก Safe Mode เสร็จแล้วกด Enter


Safe Mode

4. การออกจาก Safe Mode เมื่อทำงานเสร็จแล้วทำได้โดยการคลิก Start Menu คลิก Restart

2. การเข้า Safe Mode ผ่านทาง System Configuration (msconfig)
การเข้า Safe Mode ผ่านทาง System Configuration มีขั้นตอนดังนี้

หมายเหตุ: วิธีการนี้จะทำให้ Windows Vista บูทเข้า Safe Mode ทุกครั้งจนกว่าจะทำการแก้ไข System Configuration ให้ทำการบูทแบบปกติ

1. คลิก Start พิมพ์ msconfig ในกล่อง Start Search แล้วกด Enter
2. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ User Account Control ให้คลิก Continue หรือใส่พาสเวิร์ดของ Administrator
3. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ System Configuration ให้คลิกแท็บ Boot
4. จากนั้นให้ทำการเลือกเช็คบ็อกซ์ Safe boot และเลือก Minimal เสร็จแล้วคลิก OK


Safe boot (Minimal)

5. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ System Configuration คลิก Restart เพื่อทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์


Restart

6. หลังจากวินโดวส์รีสตาร์ทเสร็จก็จะแสดงหน้า Log on Windows ให้ทำการล็อกออนเข้าวินโดวส์ตามขั้นตอนปกติ

หลังจากทำการแก้ไขคอนฟิกด้านบนแล้ว Windows Vista จะทำการรีสตาร์ทเข้า Safe Mode โดยอัตโนมัติจนกว่าจะทำการแก้ไข System Configuration ให้ทำการบูทแบบปกติ

การแก้ไข System Configuration ให้ทำการบูทแบบปกติ
1. คลิก Start พิมพ์ msconfig ในกล่อง Start Search แล้วกด Enter
2. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ System Configuration บนแทบ General ในส่วน Startup selection ให้เลือกเป็น Normal startup เสร็จแล้วคลิก OK


Normal startup

3. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ System Configuration คลิก Restart เพื่อทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์


Restart

ซึ่งหลังจากวินโดวส์รีสตาร์ทเสร็จก็จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ

หมายเหตุ: ในการทำงานแบบ Safe Mode นั้นจะไม่มีฟีเจอร์ User Account Control

Safe Mode System Configuration

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

Windows Server 2008 R2 (Pre-Beta)


Windows Server 2008 R2 (Pre-Beta)
บทความโดย: Windows Administrator Blog

Windows Server 2008 R2 นั้นจะพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของ Windows Server 2008 โดยเป็นการขยายเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วรวมถึงฟีเจอร์ใหม่อีกหลายๆ ตัว เพื่อเพิ่มความ Reliability และ Flexibility ในระบบโครงสร้างพื้นฐานของเซิร์ฟเวอร์ เช่นเครื่องมือด้านเวอร์ชวลไลเซชันใหม่, ทรัพยากรด้านเว็บ และการปรับปรุงการจัดการ และรวมถึงการประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการใช้งานร่วมกับ Windows 7 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบเดสก์ท็อปตัวใหม่ของไมโครซอฟท์ และยังได้จัดเตรียมพื้นฐานสำหรับการจัดการ Data Center แบบไดนามิกอย่างมีประสิทธิภาพ

เครื่องมือที่เปี่ยมไปด้วยพลัง เช่น Internet Information Services (IIS) 7.0 ทำการอัพเดทระบบ Server Manager and Hyper-V และจะมาพร้อมกับ Windows PowerShell เวอร์ชัน 2.0 ซึ่งผู้ใช้สามารถทำการควบคุมระบบได้อย่างยอดเยี่ยม เพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพในแถวหน้าของธุรกิจที่ต้องการความเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เทคโนโลยีเด่นใน Windows Server 2008 R2
ใน Windows Server 2008 R2 จะมีเทคโนโลยีเด่น ดังนี้

• Virtualization.
ด้วยเทคโนโลยี server virtualization ใน Windows Server 2008 R2 จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเพิ่มการใช้ประโยชน์ฮาร์ดแวร์ ปรับโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสม และเพิ่มความพร้อมใช้เซิร์ฟเวอร์

• Management.
Windows Server 2008 R2 จะช่วยลดค่าใช้จายในด้านการจัดการระบบ Data Center ทั้งแบบกายภาพและแบบเวอร์ชวล โดยเครื่องมือสำหรับการบริหารจัดการและการทำงานวัน-ต่อ-วัน

• Web.
Windows Server 2008 R2 ช่วยให้สามารถสร้างเว็บแอพพลิเคชันที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ ด้วยการปรับปรุงการจัดการและการวินิจฉัย เครื่องมือสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชัน และค่าใช้จ่ายในส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่ต่ำ

• Scalability and Reliability.
Windows Server 2008 R2 ถูกออกแบบมาสำหรับการรับภาระงานหนักๆ ทั้งการทำงานบนเซิร์ฟเวอร์และแบบข้ามเซิร์ฟเวอร์ โดยการทำงานบนเซิร์ฟเวอร์นั้น R2 จะรวมสถาปัตยกรรมที่สามารถใช้พลังการคำนวณได้อย่างเต็มที่ และองค์ประกอบตามบทบาท รวมถึงฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือที่สูงขึ้น

• Better Together With Windows 7.
Windows Server 2008 R2 ได้รวมเทคโนโลยีสำหรับการใช้งานในองค์กรที่ออกแบบสำหรับ Windows 7 ซึ่งจะเป็นการต่อยอดในการใช้งานระบบเครือข่าย ระบบความปลอดภับ และการจัดการ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Windows Server 2008 R2 สามารถอ่านได้ที่เว็บไซต์ http://www.microsoft.com/windowsserver2008/en/us/r2.aspx

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.

การใช้งาน Windows Sidebar และ Gadgets

การใช้งาน Windows Sidebar และ Gadgets
Windows Sidebar เป็นแถบยาวแนวตั้งซึ่งแสดงอยู่ที่ด้านข้างของเดสก์ท็อปของ Windows Vista โดยภายในจะมีการแสดงโปรแกรมย่อยที่เรียกว่า Gadget ซึ่งจะให้ข้อมูลอย่างคร่าวๆ และช่วยให้การเข้าถึงเครื่องมือที่ใช้งานบ่อยได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้โปรแกรม Gadget ในการนำเสนอสไลด์รูปภาพ ดูหัวข้อข่าวที่ปรับปรุงล่าสุด เป็นต้น


รูปที่ 1 Windows Sidebar

วิธีการเปิด Windows Sidebar
วิธีการเปิด Windows Sidebar ทำได้หลายวิธีดังนี้
วิธีที่ 1. คลิก Start คลิก All Programs คลิก Accessories แล้วคลิก Windows Sidebar
วิธีที่ 2. คลิก Start พิมพ์ w ในกล่อง Start Search จากนั้นคลิก Windows Sidebar ในรายการโปรแกรมดังรูปที่ 2


รูปที่ 2 Programs

การคอนฟิก Windows Sidebar
วิธีการคอนฟิก Windows Sidebar มีวิธีการดังต่อไปนี้
1. เปิดหน้า Properties ของ Windows Sidebar ตามวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังนี้
>>>1.1 คลิก Start คลิก Control Panel คลิก Appearance and Personalization แล้วคลิก Windows Sidebar Properties
>>>1.2 หรือถ้า Windows Sidebar ถูกเปิดใช้งานอยู่ก็สามารถคลิกขวาบน Windows Sidebar แล้วเลือก Properties
>>>1.3 หรือถ้า Windows Sidebar ถูกเปิดใช้งานอยู่ก็สามารถคลิกขวาที่ไอคอนของ Windows Sidebar ที่อยู่บริเวณ Notification Area แล้วเลือก Properties


รูปที่ 3 Open Sidebar Properties

2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Windows Sidebar Properties ให้เลือกตั้งค่าตามความต้องการ เช่น ถ้าต้องการให้ Windows Sidebar แสดงอยู่บนสุดตลอดเวลา ก็ให้เลือกเช็คบ็อกซ์ Sidebar is always on top of other windows ถ้าต้องการให้แสดง Sidebar ที่ด้านซ้ายมือของเดสก์ท็อปก็ให้เลือก Left เป็นต้น เสร็จแล้วคลิก OK


รูปที่ 4 Windows Sidebar Properties

การเพิ่ม Gadget
การเพิ่ม Gadget เข้าใน Windows Sidebar ทำได้ตามวิธีการดังนี้
1. เปิดหน้า Gadgets Gallery ตามวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังนี้
>>>1.1 คลิก Start คลิก Control Panel คลิก Appearance and Personalization แล้วคลิก Add gadgets to Sidebar
>>>1.2 หรือถ้า Windows Sidebar ถูกเปิดใช้งานอยู่ก็สามารถคลิกที่เครื่องหมายบวก(+) ที่อยู่ด้านบนของ Windows Sidebar
>>>1.3 หรือถ้า Windows Sidebar ถูกเปิดใช้งานอยู่ก็สามารถคลิกขวาบน Windows Sidebar แล้วเลือก Add Gadgets
2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Gadgets Gallery ให้ลาก Gadget ที่ต้องการไปวางบน Windows Sidebar


รูปที่ 5 Gadgets Gallery

การปิด Gadget
การปิด Gadget ที่กำลังรันอยู่ใน Windows Sidebar ทำได้ตามวิธีการดังนี้
1. เลื่อนเม้าส์ไปเหนือบริเวณ Gadget ที่ต้องการปิด
2. คลิกที่เครื่องหมายกากบาท (X) ที่อยู่บริเวณมุมบนขวาของ Gadget

การแสดงรายชื่อ Gadget
การแสดงรายชื่อ Gadget ที่รันอยู่บน Windows Sidebar ทำได้โดยในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Windows Sidebar Properties ให้คลิกที่ปุ่ม View list of running gadgets


รูปที่ 6 View Gadgets

การปิด Windows Sidebar
ถ้าหากต้องการปิด Windows Sidebar ก็ทำได้โดยการคลิกขวาบน Windows Sidebar แล้วเลือก Close Sidebar หรือคลิกขวาที่ไอคอนของ Windows Sidebar ที่อยู่บริเวณ Notification Area แล้วเลือก Exit ก็ได้เช่นกัน


รูปที่ 7 Exit Sidebar


Windows Sidebar Gadgets

© 2008 Thai Windows Administrator, All Rights Reserved.